น้ำมันสำหรับทำอาหาร ไม่ได้มีแค่ ‘น้ำมันพืช’ หรือแม้แต่น้ำมันพืชเอง ก็มีหลายชนิดให้เลือกใช้ ไปดูกันว่า ถ้าอยากทำอาหารให้อร่อย ควรเลือกน้ำมันในการปรุงแต่ละเมนูอย่างไรให้เหมาะสม แอบบอกว่าถ้าเลือกถูก นอกจากจะปรุงอาหารได้อร่อยขึ้นแล้ว ยังช่วยลดไขมันทรานส์ ที่เป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง และโรคหัวใจได้อีกด้วย!

ทำไมต้องเลือกน้ำมันทำอาหาร?

เหตุผลที่ควรเลือกน้ำมันให้เหมาะสมกับการปรุงอาหาร นั่นก็เพราะว่าน้ำมันแต่ละชนิดมีจุดเกิดควันที่แตกต่างกัน 

จุดเกิดควัน (Smoke Point) คือ ณ อุณหภูมิหนึ่งที่ทำให้น้ำมันกลายเป็นควัน และมีกลิ่นไหม้ อาจจะเรียกว่าจุดเดือด หรือระดับการทนความร้อนของน้ำมันก็ได้ หากคุณใช้น้ำมันที่มีจุดเกิดควันต่ำในการปรุงอาหารที่ต้องใช้อุณหภูมิสูงๆ เช่น ของทอด น้ำมันซึ่งไม่สามารถทนความร้อนสูงๆ ได้ จะเดือด และมีกลิ่นไหม้ ทำให้รสชาติ และสีของอาหารเปลี่ยนไป และน้ำมันบางชนิด หากเจออุณหภูมิสูงๆ ยังสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ได้อีกด้วย 

ประเภทของน้ำมันสำหรับทำอาหาร

น้ำมันทำอาหาร

น้ำมันทำอาหารแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ น้ำมันพืช และน้ำมันจากสัตว์ ซึ่งน้ำมันทั้ง 2 ชนิด ให้พลังงานเท่ากัน คือ 9 kcal ต่อ 1 กรัม แต่จะแตกต่างกันที่ปริมาณของกรดไขมัน

  • น้ำมันพืช : เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่เยอะ (ยกเว้นน้ำมันพืชบางชนิด ช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม) และไม่มีคอเลสเตอรอล ไม่เป็นไขเวลาเจอความเย็น แต่สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ได้ หากนำไปผัดทอดที่อุณหภูมิสูง หรือใช้ทอดซ้ำ และน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว จะมีกลิ่นเหม็นหืน 
  • น้ำมันจากสัตว์ : เช่น น้ำมันหมู เป็นไขได้ง่ายเมื่อเจอกับความเย็น มีกรดไขมันอิ่มตัวเยอะ และมีคอเลสเตอรอล หากบริโภคมากเกินไป ก็ทำให้เกิดโรคอ้วน หรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดได้

น้ำมันพืชที่นิยมใช้ปรุงอาหาร มีกี่ชนิด?

  1. น้ำมันถั่วเหลือง : ไม่เป็นไข มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่ในระดับปานกลาง หากผ่านความร้อนสูงๆ สามารถเกิดอนุมูลอิสระได้ แต่ถ้าใช้ปรุงอาหารให้ถูกประเภท และทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงได้ 
  2. น้ำมันรำข้าว : ทำจากรำข้าวที่มีสารโอริซานอล ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน 
  3. น้ำมันปาล์ม : อุดมไปด้วยวิตามินอี และวิตามินเอ แต่มีไขมันอิ่มตัวมากกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ จุดเกิดควันสูง ไม่เหม็นหืน และราคาถูก นิยมใช้ในร้านอาหาร  
  4. น้ำมันมะพร้าว : มีไขมันอิ่มตัวอยู่เยอะ และเป็นไขเมื่ออุณหภูมิต่ำ แม้จะมีประโยชน์ ช่วยเพิ่ม HDL (คอเลสเตอรอลชนิดดี) แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือมีโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด หรือหัวใจ 
  5. น้ำมันมะกอก : มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุดในบรรดาน้ำมันพืช ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีได้ มี 3 ประเภทให้เลือก คือ แบบ Extra virgin เหมาะสำหรับทำน้ำสลัด / Pure เหมาะสำหรับทำเมนูผัด และ Light เหมาะสำหรับเมนูทอด
  6. น้ำมันดอกทานตะวัน : เป็นน้ำมันพืชที่ราคาสูง เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะเนื้อสัมผัสบางเบา ไร้กลิ่น และมีสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ เหมาะสำหรับใช้ในการทำขนม
  7. น้ำมันคาโนลา : มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อย แต่มีโอเมก้า 3, โอเมก้า 6 และกรดโอเลอิกสูง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดอุดตัน  

สำหรับน้ำมันจากสัตว์ จะนิยมใช้น้ำมันหมู เป็นน้ำมันที่ทนความร้อน จุดเกิดควันสูง ไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ และมีสรรพคุณช่วยลดระดับ LDL (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) แต่เนื่องจากว่าน้ำมันหมูมีกรดไขมันอิ่มตัวอยู่ค่อนข้างมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง

เคล็ดลับการเลือกน้ำมันสำหรับทำอาหาร 

น้ำมันทำอาหาร

การเลือกน้ำมันสำหรับทำอาหาร นอกจากเลือกที่ชนิดของน้ำมันแล้ว ให้เลือกโดยคำนึงถึงความร้อนที่ใช้ในการปรุงด้วย เพราะอย่างที่บอกว่า น้ำมันบางประเภทหากเจอความร้อนสูงๆ จะมีกลิ่นเหม็นไหม้ ซึ่งทำให้รสชาติ และกลิ่นของอาหารเปลี่ยนไป นอกจากนั้น ยังอาจเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้อีกด้วย

เมนูทอด

เมนูของทอดที่ต้องใช้ไฟแรง เช่น ไก่ทอด ปลาทอด หมูทอด กล้วยทอด ปาท่องโก๋ แนะนำให้ใช้น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันหมู ที่มีจุดเกิดควันสูง 

เมนูผัด

  • ผัดไฟแรง (170-200 องศาเซลเซียส) แนะนำให้ใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันหมู
  • ผัดไฟอ่อน แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว

น้ำสลัด

สำหรับการทำน้ำสลัด ต้องเลือกเป็นน้ำมันที่ไม่เป็นไขหากเจอกับอุณหภูมิต่ำ ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันมะกอก แบบ Extra virgin

เคล็ดลับการเลือกน้ำมันทำอาหารนี้ ใช้ได้ทั้งกับคนที่ทำอาหารกินเอง และร้านอาหาร ถ้าอยากให้อาหารของคุณอร่อยขึ้น ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และดีต่อสุขภาพ อย่าลืมใส่ใจเลือกน้ำมันทำอาหารกันซักนิดนะคะ

ช้อปอุปกรณ์ทำอาหาร บรรจุภัณฑ์ ของใช้ในครัว และเครื่องปรุงต่างๆ ในเว็บไซต์ OfficeMate เรามีทั้งไซซ์เล็กสำหรับใช้ที่บ้าน และไซซ์ใหญ่สำหรับใช้ในร้านอาหาร พร้อมราคาสุดคุ้ม ส่วนลด และของแถมแบบจุกๆ แถมด้วยบริการส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อครบ 499 บาท! 

บทความแนะนำ!

ขอบคุณข้อมูลจาก