การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปกติกันไปแล้ว เพราะในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการทำงานรูปแบบใดในออฟฟิศ ก็มักจะต้องอาศัยระบบการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล หรือการสั่งการต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์กันทั้งนั้น ซึ่งการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของร่างกายทั้งภายนอกและภายในได้ ซึ่งปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยและมากที่สุดในหมู่ชาวออฟฟิศก็คือ อาการปวดเมื่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปวดตา เมื่อยคอ ปวดหัว เป็นต้น วันนี้ OfficeMate จึงมาบอกต่อวิธีลดอาการปวดเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ หรืออาการปวดเมื่อยเรื้อรังในระยะยาว 

ปัญหาที่พบได้บ่อยเมื่อต้องทำงานผ่านจอคอมพิวเตอร์

ปัญหาที่เกิดจากการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มักจะส่งผลต่อระบบร่างกายโดยรวม ซึ่งอาการภายนอกที่เห็นได้ชัดเจนและพบได้บ่อยครั้ง เช่น อาการปวดตา ปวดต้นคอ รวมไปถึงการปวดหัว อาเจียน เป็นต้น ซึ่งปัญหาของอาการเหล่านี้ล้วนเกิดจากผลกระทบของการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานติดต่อกัน โดยมีลักษณะอาการและผลกระทบที่แสดงออกผ่านทางร่างกาย ดังนี้

  • อาการปวดตา

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ออฟฟิศหรือคนที่ต้องทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน จำเป็นต้องมีการใช้สายตาเพ่งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์นั้นเองก็จะมีการเปล่งแสงออกมาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงทำให้กระบอกตาเกิดการทำงานหนักขึ้น ทั้งในเรื่องของการเพ่งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นบรรยากาศภายในห้องทำงานที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ทำให้ตาเกิดอาการแห้งได้ รวมถึงตาเกิดอาการล้าที่เนื่องจากการเพ่งไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานติดต่อกัน

ดังนั้นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานติดต่อกัน จึงทำให้เกิดอาการปวดตา สัมผัสได้ถึงอาการปวดล้าทางสายตา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออาการเวียนหัวหรือปวดหัว รวมถึงทำให้เส้นเลือดไหลเวียนไม่เป็นปกติ เมื่อมีการฝืนสายตาใช้งานหนักอยู่เป็นประจำก็อาจส่งผลเสียต่อระบบร่างกายทั้งระบบได้เช่นกัน

  • ปวดต้นคอ

การนวดแผนโบราณกับชาวออฟฟิศถือว่าเป็นของคู่กันเลยก็ว่าได้ เพราะการทำงานที่ต้องนั่งในท่าทางเดิมๆ อยู่ตลอดเวลา รวมถึงการนั่งพิมพ์งานโดยจ้องไปที่จอคอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เราเกิดอาการปวดคอหรือต้นคอ ซึ่งทำให้มีอาการเมื่อยล้า หรือในบางรายมีอาการปวดจนแทบพักผ่อนไม่ได้ ต้องได้รับการบรรเทาด้วยการนวดผ่อนคลายหรือใช้ยาบางชนิดช่วยลดอาการปวดเมื่อยต้นคอ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมถึงการนั่งทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกต้อง จึงก่อให้เกิดอาการปวดต้นคอ หรือปวดเมื่อยคออยู่เป็นประจำ

  • ปวดหัว เวียนหัว

การปวดหัว กับอาการเวียนหัว จริงๆ แล้วมีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะอาการปวดหัวจะทำให้รู้สึกถึงอาการ “ปวด” และต้องบรรเทาด้วยการทานยาแก้ปวด แต่สำหรับอาการ “เวียนหัว” จะไม่มีอาการปวดแต่ผู้ป่วยจะรู้สึกคลื่นไส้ อยากจะอาเจียน บ้านหมุน หรือเดินทรงตัวได้ไม่ดี เป็นต้น ซึ่งทั้งสองอาการที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวหรือเวียนหัวก็ตาม ล้วนแล้วแต่เกิดจากผลกระทบของการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานติดต่อกันได้เช่นกัน เพราะการนั่งทำงานที่ต้องใช้ทั้งสมองสั่งการ ประมวลผลทางความคิด และต้องใช้สายตาเป็นหลักในการเพ่งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ส่งผลทำให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ อีกทั้งหากเราทำงานโดยไม่หยุดพัก หรือสร้างความผ่อนคลายให้แก่ร่างกายก่อนการทำงานในครั้งต่อไป ก็ยิ่งทำให้เกิดการปวดหัว เวียนหัว ในบางรายอาจมีอาการเหล่านี้สะสมไปจนลุกลามและส่งผลเสียต่อระบบร่างกายแบบบานปลายได้

วิธีรับมือกับปัญหาที่เกิดจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน 

  1. เมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นาที ควรหยุดพักสายตาเพื่อไม่ให้เกิดการฝืนใช้สายตาหนักเกินไป โดยวิธีรับมือคือให้มองไปที่บริเวณอื่น เช่น วิวนอกหน้าต่าง ท้องฟ้า หรือต้นไม้สีเขียวๆ ช่วยให้กล้ามเนื้อตาผ่อนคลายขึ้น นอกจากนั้น ระหว่างที่เพ่งหน้าจอให้ฝึกกะพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันอาการตาแห้ง รวมถึงเป็นการบริหารกล้ามเนื้อตาไปในตัวด้วย 
  2. พักสายตาด้วยการหลับตา การหลับตาถือว่าเป็นการพักผ่อนทางสายตาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีรับมือเมื่อเราใช้งานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งเราควรพักสายตาด้วยการหลับตาสักประมาณ 2-3 นาทีต่อเนื่องกัน จากนั้นจึงค่อยลืมตามาทำงานต่อ วิธีการนี้นอกจากจะช่วยถนอมการใช้งานสายตาของเราแล้ว ยังช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสร้างสมาธิให้กับเราได้อีกด้วย
  3. หากพบว่าตัวเองมีอาการตาแห้ง หลังจากที่ใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรหยอดน้ำตาเทียมเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับดวงตา และบรรเทาอาการปวดตาหรือแสบตา
  4. ปรับความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สว่างจ้าจนเกินไป และไม่มืดจนต้องเพ่ง วิธีที่ดี คือ นั่งทำงานในที่ที่แสงสว่างเพียงพอ ช่วยให้มองเห็นหน้าจอได้ง่าย และแสงจากธรรมชาติยังช่วยตัดแสงหน้าจอที่เป็นอันตรายต่อดวงตาได้บางส่วนอีกด้วย
  5. ใส่แว่นตาที่ช่วยกรองแสงสีฟ้า เปรียบเสมือนกับดวงตามีเกราะป้องกัน เป็นโล่กรองแสงก่อนเข้าสู่สายตาโดยตรงนั่นเอง เมื่อเราใส่แว่นกรองแสงก็จะรู้สึกว่าสบายตาขึ้น ทำให้ลดอาการปวดล้าสายตาได้
  6. ระยะห่างระหว่างตากับจอต้องมีความเหมาะสม ไม่อยู่ใกล้จอจนเกินไปหรือห่างจนเกินไป ซึ่งระยะห่างที่เหมาะสมสำหรับสายตากับจอมอนิเตอร์คือประมาณ 40-50 เซนติเมตร และจุดกึ่งกลางของหน้าจอมอนิเตอร์จะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาด้วย
  7. อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดอาการปวดคอ และปวดตาได้ คือ การเสริมด้วยจอคอมพิวเตอร์ หรือจอมอนิเตอร์ เพราะบางครั้ง การทำงานโดยอาศัยจอโน๊ตบุ๊คที่ค่อนข้างเล็ก อาจทำให้มองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ไม่ชัดเจน ต้องเพ่ง ต้องยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ถ้าทำบ่อยๆ ก็อาจจะติดเป็นนิสัย ทำให้ปวดเมื่อยทั้งคอ บ่า ไหล่ และดวงตา
  8. นอกจากเสริมด้วยจอมอนิเตอร์แล้ว การปรับขนาดตัวอักษรบนหน้าจอมอนิเตอร์ก็มีความสำคัญ เพื่อการมองที่สบายตา ไม่เพ่งจนเกินไป ซึ่งเราสามารถเลือกปรับขนาดของตัวอักษรได้ตามความเหมาะสมจากการสั่งการที่คอมพิวเตอร์

วิธีบริหารร่างกายเบื้องต้น ลดอาการปวดคอ ปวดหัว

นอกจากวิธีรับมือแล้ว ถ้าตอนนี้ใครกำลังมีอาการปวดคอ ปวดตา ลองมาทำท่าบริหารง่ายๆ เพื่อบรรเทาอาการกัน!

  • ก้มและเงยหน้าสลับกันช้าๆ 

การก้มและเงยหน้าสลับกันอย่างช้าๆ สามารถช่วยลดอาการปวดต้นคอได้ โดยให้เราก้มหน้าช้าๆ และค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาให้สุด มองขึ้นไปบนเพดาน ทำอย่างนี้สลับกันประมาณ 3-5 นาที จะช่วยบรรเทาอาการปวดต้นคอ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดพังผืดบริเวณต้นคออันเกิดจากการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อีกด้วย

  • ประสานมือซ้ายและขวาไว้ที่ท้ายทอย 

ให้ใช้มือทั้งสองข้างประสานกันไว้บริเวณท้ายทอย จากนั้นให้เงยหน้าขึ้นไปจนสุด ให้สัมผัสได้ถึงความยืดเหยียดของกล้ามเนื้อต้นคอ ทำค้างไว้ประมาณ 1 นาที และพัก ทำสลับกันไปประมาณ 3-5 ครั้ง ก็จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายที่เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอีกด้วย

  • ประสานมือและบิดซ้ายบิดขวา

ให้เรานำมือทั้งสองข้างประสานกันไว้ พร้อมกับยืดเหยียดไปด้านหน้าให้สุด จากนั้นให้เบี่ยงตัวไปทางด้านซ้ายและขวา โดยให้มือที่เราประสานกันไว้นั้นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับลำตัวที่เราเอียงไป วิธีการนี้สามารถช่วยยืดกล้ามเนื้อส่วนบนของร่างกาย รวมถึงการพักผ่อนร่างกาย และเปลี่ยนท่าทางในการทำงาน ที่สามารถช่วยลดอาการปวดต้นคอได้ด้วย

ทำบ้าง พักบ้าง มีประโยชน์กว่าเยอะ

อย่างที่เราบอกไปแล้วว่าหากเราทำงานโดยไม่มีการพักผ่อน หรือทำงานต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก นอกจากจะส่งผลเสียต่ออาการต่างๆ ที่เราได้กล่าวมาแล้ว ยังส่งผลเสียในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้วย ดังนั้นการทำงานแบบพักบ้าง ทำบ้าง จึงมีประโยชน์ในด้านต่างๆ นอกจากประโยชน์ที่เกี่ยวกับร่างกายของเราด้วย เช่น

  • ได้ผ่อนคลายสมอง เพิ่มไอเดีย

การพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างการทำงานจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ลดความกดดันและความกังวลต่างๆ เกี่ยวกับการทำงาน ทั้งยังอาจจะช่วยให้ไอเดียใหม่ๆ ผุดขึ้นมาได้อีกด้วย

  • แค่หยุด ก็เพิ่มสมาธิ

การทำงานอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดพักเพียงเพราะหวังจะให้งานเสร็จเร็วเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะแม้จะทำให้งานเสร็จเร็วก็ตาม แต่คุณภาพงานอาจต่ำลงได้ ดังนั้นเราจึงควรหยุดพัก โดยการจิบกาแฟสักแก้ว ฟังเพลงเพลินๆ สักเพลงก่อนทำงานต่อ หรืออาจจะไปเดินเล่นด้านนอกก่อนกลับมาทำงานต่อ แค่เพียงเราหยุด ก็เท่ากับเพิ่มสมาธิให้เราได้ ทำให้เราทำงานได้ไหลลื่นมากกว่า และอาจทำให้งานมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย

ทริคและวิธีรับมือกับอาการปวดตา ปวดคอ จากการทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานที่เราได้บอกต่อมานี้ เป็นวิธีการที่ง่าย ทำได้ทุกคน แถมยังใช้ได้ผล นอกจากจะช่วยลดอาการปวดล้าต่างๆ แล้ว ยังช่วยให้งานของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ช้อปจอคอมพิวเตอร์ จอมอนิเตอร์ไปเสริมการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดอาการปวดตา และปวดคอ คลิกเลยที่ OfficeMate ช้อปตอนนี้ มีราคาพิเศษ ของแถมสุดคุ้ม และบริการส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อครบ 499 บาท!

บทความแนะนำ!

ขอบคุณข้อมูลจาก

www.phyathai.com