ในเดือนเมษาที่อากาศร้อนระอุขึ้นทุกปีๆ ‘พัดลมไอเย็น’ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยคลายร้อนได้ดี เพราะให้ความเย็นได้มากกว่าพัดลม แถมช่วยประหยัดได้เยอะกว่าการใช้เครื่องปรับอากาศ แต่สำหรับใครที่ยังงงๆ ว่า พัดลมไอเย็น คืออะไร? เหมือนกับพัดลมไอน้ำรึเปล่า? วันนี้ OfficeMate มีคำตอบมาให้ พร้อมวิธีการเลือกซื้อพัดลมไอเย็นมาช่วยดับร้อน ไปดูกันเลย!

พัดลมไอเย็นไม่ใช่พัดลมไอน้ำ

สำหรับคนที่สงสัยว่าพัดลมไอเย็น กับพัดลมไอน้ำต่างกันอย่างไร? ต้องบอกว่าทั้งหลักการทำงาน และการให้ความเย็นนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง  พัดลมไอเย็น จะคล้ายกับเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ทำงานด้วยระบบ Evaporative Cooling Systems คือการดึงอากาศภายในห้องเข้าไปผ่านแผ่นทำความเย็น (Cooling Pad) อากาศร้อนๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นอากาศเย็น แล้วส่งออกมา ช่วยให้ห้องมีอุณหภูมิต่ำลงได้ 2-8 องศาเลยทีเดียว 

ส่วนพัดลมไอน้ำ จะทำงานโดยการพ่นละอองน้ำออกมา และมีแรงลมช่วยกระจายละอองน้ำให้ทั่วถึง ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานในบ้าน ในคอนโด หรือในห้องเล็กๆ ที่ไม่มีการระบายอากาศ เพราะจะทำให้ห้องอับชื้นมากเกินไป 

ข้อดีของพัดลมไอเย็น

แม้พัดลมไอเย็นจะไม่ได้ช่วยลดอุณหภูมิห้องได้มากเท่ากับการเปิดแอร์ แต่ข้อดีของพัดลมไอเย็น คือ

  • ลดอุณหภูมิภายในบ้านได้มาก 2-8 องศาเซลเซียส
  • ไม่ทำให้ห้องอับชื้น 
  • ราคาถูก และติดตั้งง่ายกว่าแอร์
  • ช่วยให้เย็นสดชื่นได้มากกว่าพัดลม
  • ประหยัดไฟมากกว่าการเปิดแอร์  

ข้อดีเหล่านี้ ทำให้พัดลมไอเย็นเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่เหมาะจะเอามาช่วยดับร้อนในเดือนเมษามหาโหด ถ้าใครรู้สึกสนใจ อยากได้พัดลมไอเย็นซักเครื่อง ไปดูกันต่อเลยว่าจะเลือกซื้อยังไงดี?

พัดลมไอเย็น

วิธีเลือกซื้อ ‘พัดลมไอเย็น’

1.ขนาดห้อง

หลักการเลือกซื้อพัดลมไอเย็นข้อแรก ให้พิจารณาจากขนาดของห้อง หากคุณซื้อพัดลมไอเย็นเครื่องเล็ก ไปใช้กับห้องกว้างๆ การกระจายลมเย็น และการปรับอุณหภูมิก็จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

  • พัดลมไอเย็นมีตั้งแต่ขนาดเล็ก จุน้ำได้ 3-6 ลิตร เหมาะสำหรับใช้งานในห้องขนาดเล็ก อย่างห้องนอน หรือหอพัก และเหมาะกับคนที่อยู่คนเดียว หรือใช้งานต่อเนื่องวันละไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง 
  • พัดลมไอเย็นขนาดกลาง จุน้ำได้ประมาณ 8-15 ลิตร สามารถเปิดใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า เหมาะกับการใช้งานในคอนโด บ้าน หรือใช้ในครัวเรือนที่อยู่กัน 1-3 คนขึ้นไป
  • พัดลมไอเย็นขนาดใหญ่ จุน้ำได้ประมาณ 22-45 ลิตร เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่กว้าง อย่างห้องโถง ห้องประชุม หรือโรงงานอุตสาหกรรม 

2.ความเร็วลม

ความเร็วลม หรือความแรงลมของพัดลมไอเย็น ส่วนใหญ่จะมีให้เลือกปรับได้ตามต้องการ หากคุณเป็นคนขี้ร้อน ก็แนะนำให้มองหาพัดลมไอเย็นที่มีความเร็วลมให้เลือก 4-5 ระดับ เพื่อช่วยกระจายไอเย็นได้ทั่วถึง และทำให้ห้องเย็นเร็วมากขึ้น

3.เคลื่อนย้ายสะดวก

จะซื้อพัดลมไอเย็นทั้งที ต้องซื้อแบบมีล้อ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ทั้งยังช่วยประหยัดเงินได้มากกว่า เพราะคุณสามารถเคลื่อนย้ายพัดลมไอเย็นไปใช้งานได้ทุกที่ ร้อนตรงไหนก็ตั้งตรงนั้น ไม่ว่าจะห้องนอน ห้องทำงาน ฯลฯ ไม่ต้องเสียเงินซื้อหลายๆ เครื่อง เพื่อใช้งานในหลายๆ ห้อง (แต่ถ้าอยู่กันหลายคน จะซื้อพัดลมไอเย็นไปตั้งเอาไว้ช่วยดับร้อนทุกห้อง OfficeMate ก็ไม่ว่ากัน)

4.ระบบควบคุมการใช้งาน

ระบบควบคุมการใช้งานมีทั้งแบบควบคุมผ่านปุ่มบนตัวเครื่อง และใช้รีโมทคอนโทรล ถ้าจะให้ดีก็ควรซื้อพัดลมไอเย็นที่ควบคุมการทำงานได้ทั้ง 2 แบบ คือ ทั้งบนตัวเครื่อง และผ่านรีโมท รีโมทจะช่วยให้สะดวกขึ้น แต่การควบคุมผ่านปุ่มบนตัวเครื่องก็สำคัญในยามที่รีโมทเกิดพัง หรือถ่านหมดฉุกเฉิน

5.ฟังก์ชันเสริม 

นอกจากช่วยเปลี่ยนอากาศในห้องให้เย็นขึ้นได้แล้ว พัดลมไอเย็นสมัยนี้ยังมาพร้อมฟังก์ชันเสริมมากมาย ทั้งฟังก์ชันไล่ยุง ระบบฟอกอากาศ ระบบดักจับฝุ่นละอองในอากาศ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเป็นโหมดพัดลมธรรมดาในวันที่อากาศไม่ร้อนจัด เรียกว่าเป็นทุกอย่างให้แล้วในเครื่องเดียว 

พัดลมไอเย็นที่ทั้งใช้งานง่าย เย็นกว่าพัดลมธรรมดา แถมยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าแอร์ คงไม่มีไอเทมไหนจะตอบโจทย์การดับร้อนในยุคข้าวยากหมากแพงได้ดีไปมากกว่านี้แล้วจริงมั้ยคะ 

ใครอยากได้พัดลมไอเย็นคุณภาพดี เข้ามาช้อปได้เลยที่เว็บไซต์ OfficeMate มีให้เลือกหลายแบรนด์ พร้อมส่วนลดแบบจุกๆ พร้อมประกันสินค้า และบริการส่งฟรีทั่วไทย!

บทความแนะนำ!

ขอบคุณข้อมูลจาก