ว่าด้วยเรื่องต้นทุนและกำไรในการทำธุรกิจ ย่อมเป็นสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายมักจะให้ความสำคัญอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ค่ะ โดยหากต้นทุนไม่คุ้มกับกำไรที่ได้ ก็อาจจะกลายเป็นขาดทุนเสียเปล่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ ค่าน้ำหนักในการจัดส่งสินค้า ซึ่งนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายหลักของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เลยทีเดียว เพราะในการจัดส่งสินค้าแต่ละครั้ง ไปรษณีย์ และบริษัทขนส่งต่างๆ จะคิดค่าน้ำหนักของกล่องพัสดุสินค้าเพิ่มเข้าไปอีกทบ ดังนั้น รายจ่ายของแม่ค้าออนไลน์จะมากน้อยแค่ไหนนั้น จึงขึ้นอยู่กับค่าน้ำหนักของพัสดุสินค้านั้นเอง  และยิ่งถ้าราคาน้ำหนักสูงเกินกว่าที่ตกลงกับลูกค้าเอาไว้ละก็ งานนี้แม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายคงปวดหัวตึ้บกันเป็นแถบ

จะลดต้นทุนค่าจัดส่งอย่างไรดี…

ปัจจุบัน ค่าน้ำหนักพัสดุแบบทั่วไป ซึ่งคิดราคาตามกิโลกรัม เริ่มต้นกิโลกรัมแรกที่ 20 บาท และสูงสุดที่ 20 กิโลกรัมในราคา  200 บาท  ในขณะที่กล่องไปรษณีย์ไซส์กลาง ก็กินน้ำหนักไปถึง 190-250 กรัมเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่นับรวมกับสินค้าที่อยู่ภายในกล่องและวัสดุกันกระแทก อย่าง พลาสติกกันกระแทก ( air bubble ) เม็ดโฟมโพลีเอทิลีน (polyethylene foam)  ที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายของแม่ค้าเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้น  วิธีเดียวที่จะช่วยให้คุณลดต้นทุนค่าน้ำหนักส่วนนี้ลงได้ ก็คือ ลดน้ำหนักกล่องไปรษณีย์ให้น้อยที่สุดค่ะ

5 วิธีลดน้ำหนักกล่องไปรษณีย์ ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรรู้…

1. ลดขนาดกล่องไปรษณีย์ อย่างที่เราทราบกันดีว่ากล่องไปรษณีย์แต่ละขนาด  ก็ให้น้ำหนักที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งกล่องไซส์ใหญ่ ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากตามไปด้วย  โดยปัจจุบันกล่องไปรษณีย์   มีน้ำหนักมากถึง 350 กรัม ขณะที่กล่องขนาดเล็กมีน้ำหนักอยู่ที่  60 กรัมโดยประมาณ  ซึ่งหากคุณลดขนาดกล่องพัสดุลง 1-2 ไซส์  ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงได้ค่ะ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเป็นขนาดที่พอดีกับสินค้าของเราด้วยนะคะ

2. ใช้ถุงลมกันกระแทก แม้ว่าเทคนิคห่อกล่องไปรษณีย์เพื่อกันกระแทก ด้วยพลาสติกกันกระแทก ( air bubble ) และเม็ดโฟมโพลีเอทิลีน (polyethylene foam) จะช่วยไม่ให้สินค้าข้างในเสียได้ แต่ผลเสียที่ตามมา ก็อาจจะทำให้น้ำหนักกล่องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก  ดังนั้น วิธีง่ายๆที่ช่วยให้คุณเซฟสินค้าข้างในไปพร้อมๆกับเซฟราคา คือการลองใช้ถุงลมกันกระแทก  แทนตัวพลาสติกกันกระแทก ( air bubble )  หรือเม็ดโฟมพลาสติก (polyethylene foam) ดูค่ะ เพราะว่าความเบาของถุงชนิดนี้จะทำให้กล่องไม่หนักมาก

3. ตัดฝากล่องออก และสำหรับแม่ค้าคนไหนที่เผลอทำน้ำหนักกล่องไปรษณีย์เกิน 1 กิโลกรัมมาเล็กน้อย แต่ไม่อยากเสียเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัว ให้คุณลองตัดกล่องบริเวณฝาชนที่รองด้านบนออกเล็กน้อยค่ะ เพื่อไม่ให้น้ำหนักของพัสดุเกิน 2 กิโลกรัม แต่มีข้อแม้ว่า เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะกับกล่องไปรษณีย์ประเภทไดคัทสีขาวเท่านั้นค่ะ  เพราะเวลาที่คุณตัดกล่องบริเวณฝาชนออกแล้ว  ตัวกล่องก็จะยังใช้งานได้ไม่เสียงานค่ะ

4. แบ่งกล่องพัสดุเป็นกล่องเล็กย่อยๆ หลายกล่อง เป็นอีกเทคนิคสำหรับแม่ค้าคนไหนที่ส่งของปริมาณมากๆให้กับลูกค้าคนเดียว และเมื่อนับรวมค่าน้ำหนักที่เป็นกล่องไซส์ใหญ่แล้ว ค่าเสียหายดูไม่น่าจะคุ้มสักเท่าไหร่นัก  ให้คุณลองแบ่งสินค้าส่งเป็นกล่องขนาดเล็กหลายๆ กล่องดูค่ะ  เพื่อแชร์น้ำหนักในการจัดส่งสินค้า เพราะข้อดีของการแชร์น้ำหนักแบบใช้กล่องเล็กหลายๆ กล่อง คือ เรทราคาอาจจะถูกกว่าการส่งด้วยกล่องใหญ่เพียงกล่องเดียว

5. เปรียบเทียบราคาน้ำหนัก เนื่องด้วยบริการขนส่งสินค้าในปัจจุบันกำลังเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง  พ่อค้าหรือแม่ค้าออนไลน์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เนื่องจากผู้บริโภคสมัยนี้ นิยมซื้อของออนไลน์กันทุกๆ วัน จึงทำให้ ธุรกิจบริการขนส่งพัสดุทั้งสินค้าทั้งเล็กและใหญ่ออกมาแข่งขันกันทำการตลาดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Lalamove, Grab Express,  Kerry Express และ Line man  เป็นต้น  ซึ่งข้อดีของการมีธุรกิจบริการขนส่งที่เช่นนี้  ก็คือ ทำให้เกิดการแข่งขันทางราคา ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบบริการขนส่งและราคาค่าน้ำหนักจัดส่งที่ถูกที่สุดได้ค่ะ

ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะคะ รับรองว่าช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งสินค้าของคุณได้อย่างแน่นอน  แต่นอกจากการลดต้นทุนของการจัดส่งแล้ว หากอยากลดต้นทุนเรื่องเวลาสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับแพ็คพัสดุ ได้ที่เว็บไซต์ออฟฟิศเมท  เพราะนอกจากจะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางแล้ว ยังช่วยคุณลดเวลาในการหาสินค้า คลิกเดียวจบที่ Online Seller เรารวมสินค้าและไอเทมจำเป็นสำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ไว้ให้ในลิ้งเดียว แถมบริการส่งฟรีเมื่อซื้อครบ 499 บาท!

อ่านบทความเพิ่มเติม
รวม 14 บริษัทขนส่งที่คนขายของออนไลน์ต้องห้ามพลาด! 2021
Check list ไอเทมต้องมี! สำหรับคนอยากขายของออนไลน์ เตรียมพร้อมรับยอดขายสุดปัง
รวม 10 โกดังเก็บของให้เช่า ในเขตกรุงเทพมหานคร