สำหรับการทำงานในบริษัทแล้ว การที่ต้องมีโปรเจคเตอร์ไว้ใช้งานสักเครื่องคงไม่ใช่เรื่องที่แปลกสักเท่าไร เพราะในการประชุมงาน อบรมสัมมนาพนักงานใหม่ และกิจกรรมอื่นๆ ที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก การใช้โปรเจคเตอร์ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ทำให้คนที่เข้าร่วมประชุมเห็นข้อมูล หรือสื่อที่นำมาเสนอได้ชัดเจน และพร้อมกัน อีกทั้งโปรเจคเตอร์ยังสามารถนำเสนอโครงการหรือไฟล์งานต่างๆ ที่พนักงานจัดทำขึ้นผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ดีกว่าการมองผ่านจอโน๊ตบุ๊คอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายซะทีเดียว เพราะบางครั้งหน่วยงานที่ต้องทำการสั่งซื้อเครื่องโปรเจคเตอร์มาใช้งานก็มีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ หรือแม้แต่เรื่องของฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ต้องใช้งาน ทำให้ผู้สั่งซื้อต้องมีความรู้และความเข้าใจพอสมควร ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าซื้อเครื่องมาในราคาแพง แต่กลับไม่มีฟังก์ชั่นที่ต้องการ หรือได้เครื่องราคาถูกมาก็จริง แต่คุณภาพของตัวเครื่องนั้นไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่บริษัท ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะผู้สั่งซื้อขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องโปรเจคเตอร์ และสำหรับใครที่กำลังมองหาโปรเจคเตอร์เครื่องใหม่อยู่นั้น วันนี้เราก็มีวิธีเลือกซื้อโปรเจคเตอร์แบบง่ายๆ อ่านจบเข้าใจพร้อมซื้อมาใช้งานโดยไม่โดนหลอกมาฝากกัน

องค์ประกอบต้องรู้! ในการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์

ซื้อโปรเจคเตอร์ (Projector)

พิจารณาจากความสว่างของโปรเจคเตอร์ (Brightness)

สำหรับค่าความสว่างของโปรเจคเตอร์นั้นจะมีหน่วยเป็น Lumens โดยความแตกต่างของความสว่างก็จะขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก เช่นการซื้อโปรเจคเตอร์ ไปใช้งานในบริษัทเพื่อการนำเสนองานหรือใช้ในการประชุม ความสว่างที่ควรเลือกใช้ควรมากกว่า 2000 Lumens เพราะจะสามารถใช้งานในห้องประชุมใหญ่ๆ ได้ดีและปรับค่าความสว่างได้มากกว่า

อัตราส่วนภาพของโปรเจคเตอร์ (Aspect Ratio)

สำหรับอัตราส่วนของภาพนั้นมีอยู่หลากหลายขนาดด้วยกัน แต่ขนาดที่ได้รับความนิยมใช้งานกันทั่วไปนั้นอยู่ที่ 4:3 (Standard) และ 16:9 (Widescreen) โดยอัตราส่วนที่ต่างกันก็บ่งบอกถึงภาพที่ปรากฏมีขนาดที่ต่างกัน ซึ่งอัตราส่วนที่ได้รับความนิยมทั้งสองแบบนั้น เหมาะกับการใช้งานทั้งในห้องประชุม ชั้นเรียน หรือแม้แต่การฉายโปรเจคเตอร์เพื่อการชมภาพยนตร์ภายในบ้านด้วย

ความละเอียดของโปรเจคเตอร์ (Resolution)

โปรเจคเตอร์แต่ละประเภทก็จะมีละเอียดที่ต่างกันออกไป ซึ่งความละเอียดของโปรเจคเตอร์ทุกรุ่นมีหน่วยเป็น Pixel (Picture+Element) ซึ่ง Pixel แนวตั้ง x Pixel แนนนอน จะได้ค่าความละเอียดที่เครื่องโปรเจคเตอร์สามารถทำได้ ซึ่งมีหลายระดับ โดยอิงจากอัตราส่วนของภาพที่แสดง

4:3 (Standard)

  • SVGA: ให้ภาพละเอียดที่ 800×600 = 480,000 Pixel
  • XGA: ให้ภาพละเอียดที่ 1024×768 = 786,000 Pixel
  • SXGA: ให้ภาพละเอียดที่ 1280×1024 = 1,311,000 Pixel

16:9 (Widescreen)

  • WVGA: ให้ภาพละเอียดที่ 845×480 = 410,000 Pixel
  • WSVGA: ให้ภาพละเอียดที่ 1024×576 = 590,000 Pixel
  • 720p (HD): ให้ภาพละเอียดที่ 1280×720 = 921,600 Pixel
  • 1080p (HD): ให้ภาพละเอียดที่ 1920×1080 = 2,703,600 Pixel

ทั้งนี้การใช้งานในบริษัทนั้นจะใช้โปรเจคเตอร์กับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันความละเอียดของคอมพิวเตอร์นั้นจะมีความละเอียดเป็นหน่วย XGA คืออยู่ที่ 1024 x 768 หากว่านำมาใช้งานกับโปรเจคเตอร์ที่มีความละเอียดในระดับ XGA ด้วยกัน ก็จะทำให้ภาพที่ปรากฏนั้นมีคมชัดมากยิ่งขึ้นด้วย แต่ในทางกลับกันหากโปรเจคเตอร์มีความละเอียดที่น้อยกว่า หรืออยู่ในระดับ SVGA ภาพที่ได้ก็จะมีความคมชัดน้อยลงนั่นเอง

ค่า Contrast Ratio ของโปรเจคเตอร์

ค่า Contrast Ratio นั้นเป็นค่าของความต่างระหว่างสีในจุดที่สว่างที่สุดและมืดที่สุด โดยหากว่าค่า Contrast Ratio มีความต่างกันมากหรือมีค่าสูง จะให้ภาพที่มีความคมชัดมากขึ้น และมีมิติของภาพมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามหากต้องพิจารณาเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ จากวิธีนี้ก็จำเป็นที่จะต้องให้ทางร้านช่วยทำการทดสอบเพื่อหาอัตราส่วนของความต่างสีเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้ภาพที่ดูมีมิติ แนะนำเลือกโปรเจคเตอร์ที่มีค่านี้ ตั้งแต่ 2000:1 ขึ้นไป

ซื้อโปรเจคเตอร์ (Projector)

ขนาดของภาพ (Image Sizes) และระยะในการแสดงภาพบนโปรเจคเตอร์ (Projection Distance)

สำหรับในส่วนของ Image Sides นั้นจะเป็นตัวบอกขนาดภาพที่โปรเจคเตอร์จะฉายได้ใหญ่ที่สุด โดยจะเป็นการวัดขนาดในแนวทแยงมุม และในเรื่องของระยะแสดงภาพหรือ Projection Distance นั้นจะเป็นตัวเลขที่บอกให้ทราบว่าระยะในการแสดงภาพของโปรเจคเตอร์เครื่องนั้นอยู่ที่ขนาดเท่าไรถึงเท่าใด เช่น 1-10 หมายความว่าระยะห่างที่เริ่มฉายภาพได้เริ่มตั้งแต่ 1 เมตร ไปจนถึง 10 เมตร หากเกินจากนั้นภาพที่ฉายก็จะมีความเบลอไม่ชัดนั่นเอง ฉะนั้นแล้วควรคำนวณระยะที่จะตั้งตัวโปรเจคเตอร์ให้ดีเสียก่อนเลือกซื้อ

เทคโนโลยีของเครื่องโปรเจคเตอร์ (LCD, DLP, LCOS)

ในด้านนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการกำเนิดภาพของโปรเจคเตอร์ โดยทั้งสามชนิดนั้นเป็นรูปแบบของเทคโนโลยีเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน โดยคุณภาพของภาพที่ได้นั้นก็แตกต่างกัน โดยที่เทคโนโลยีแบบ LCD นั้นจะให้ภาพที่อยู่ในเกณฑ์ดีรวมถึงแสงและสีที่ได้ก็จะมีความเป็นธรรมชาติสมจริง ส่วนเทคโนโลยี DLP นั้นจะเน้นในเรื่องของ Contrast Ratio ทำให้โปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีประเภทนี้ในการแสดงภาพสามารถฉายภาพได้อย่างคมชัดและมองเห็นมิติได้อย่างชัดเจน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฉายภาพยนตร์ และสุดท้ายคือเทคโนโลยี LCOS เป็นการผสมผสานเทคโนโลยี 2 แบบแรก ยังไม่มีผู้ผลิตเครื่องโปรเจคเตอร์ด้วยเทคโนโลยีประเภทนี้ออกมาจำหน่ายมากนัก ซึ่งเท่าที่มีจำหน่ายนั้นก็มีราคาที่ค่อนข้างสูงมากทีเดียว อย่างไรก็ตามภาพที่ได้ก็มีคุณภาพที่คมชัดมากถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้

พอร์ทรับส่งสัญญาณโปรเจคเตอร์ (Input/Output Terminal)

พอร์ทที่ใช้ในการรับส่งสัญญาณ สำหรับบนโปรเจคเตอร์จะมีอยู่หลายพอร์ทด้วยกัน แต่หากต้องเลือกซื้อโปรเจคเตอร์จากพอร์ทที่ใช้ ก็ควรจะพิจารณาถึงคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ด้วยว่า จะต่อสายสัญญาณออกมาจากพอร์ทใด เช่นช่อง DVI-I, DVI-D หรือช่องต่อ HDMI ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้พอร์ท HDMI เป็นส่วนมาก

หลอดภาพของโปรเจคเตอร์ (Projector Lamps)

โปรเจคเตอร์ทำงานฉายภาพผ่านทางหลอดภาพ เช่นเดียวกันกับโทรทัศน์ โดยระยะเวลาการใช้งานที่นานขึ้นก็ย่อมส่งผลให้หลอดภาพมีความเสื่อมสภาพได้เช่นเดียวกัน โดยปกติหลอดภาพโปรเจคเตอร์จะถูกเซ็ทจากโรงงานให้ใช้งานได้ประมาณ 2,000 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามเมื่อหลอดภาพเสื่อมก็สามารถที่จะเปลี่ยนหลอดภาพใหม่ได้ แต่สำหรับโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ๆ บางรุ่นนั้นมีโหมดประหยัดพลังงานให้ใช้ ซึ่งโหมดนี้นอกจากจะช่วยในการประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของหลอดภาพได้อีกด้วย

การรับประกันสินค้าและบริการ (Warranty & services)

เป็นสิ่งสำคัญประการสุดท้ายก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อโปรเจคเตอร์เลยก็ว่าได้ เพราะถึงแม้ว่าโปรเจคเตอร์เครื่องที่ตัดสินใจซื้อจะมีราคาถูกและฟังก์ชั่นครบก็ตาม ประกันเครื่องโปรเจคเตอร์จะช่วยให้เราอุ่นใจขึ้น เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโปรเจคเตอร์จะเสียเมื่อไร แถมเมื่อเสียแล้วยังมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกด้วย ฉะนั้นแล้วควรเลือกซื้อกับร้านค้าหรือบริษัทตัวแทนจำหน่ายชั้นนำที่มีประกันเครื่องโปรเจคเตอร์ การให้บริการหลังการขายที่ดี ทั้งการให้คำแนะนำและการเข้ามาดูแลซ่อมแซมเมื่อเกิดความผิดปกติของโปรเจคเตอร์ขึ้น

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อให้เกิดความเหมาะสม สำหรับการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์มาใช้งานสักเครื่องหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นการซื้อของที่มีราคาแพงที่สุดก็อาจไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด หากแต่เป็นการนำมาใช้งานที่ได้ความคุ้มค่าและตรงตามจุดประสงค์ของการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ที่เป็นตัวกำหนดว่าควรจะจ่ายเงินซื้อโปรเจคเตอร์เครื่องนั้นหรือไม่

สามารถเข้าไปเลือกซื้อโปรเจคเตอร์รุ่นที่เหมาะกับองค์กร และการใช้งานของทุกคนได้ที่เว็บไซต์ OfficeMate ช้อปออนไลน์ได้สะดวกสบาย พร้อมบริการจัดส่งฟรีเมื่อสั่งซื้อครบ 499 บาท!