หลอดไฟ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่คนยุคนี้คุ้นชินกันอยู่แล้ว ตามบ้านเรือน สำนักงาน สถานที่ต่างๆ ล้วนใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่างเป็นหลัก และใช้กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยที่หลอดไฟเป็นแบบหลอดไส้ จนปัจจุบันมีการใช้หลอดไฟ LED กันมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาสำหรับผู้ใช้หลอดไฟ คือไม่ทราบถึงวิธีการเลือกหลอดไฟ ว่าหลอดไฟแบบไหนดี แบบไหนคุ้มค่า และเหมาะที่จะนำมาใช้งานมากที่สุด วันนี้เราจะบอกวิธีการเลือกใช้หลอดไฟ และเลือกหลอดไฟแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุดกันค่ะ

ชนิดของ หลอดไฟ

หลอดไฟแบบหลอดไส้ (Incandescent)

หลอดไฟชนิดนี้มีลักษณะภายนอกเหมือนที่เราคุ้นตาคือเป็นหลอดแก้ว ภายในมีลวดขดอยู่ทำจากทังสเตน เมื่อเปิดไฟใช้งาน กระแสไฟฟ้าจะเกิดความร้อน ยิ่งร้อนมาก ยิ่งให้แสงสว่างมาก แต่เป็นหลอดไฟที่สิ้นเปลืองพลังงาน เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าที่ปล่อยเข้าไป ถูกใช้ไปกับการทำความร้อนเสียมากกว่า และมีอายุการใช้งานต่ำ

หลอดไฟฮาโลเจน (Halogen)

หลอดไฟฮาโลเจน เป็นหลอดไฟที่มีลักษณะและหลักการทำงานเหมือนๆ กับหลอดไฟแบบหลอดไส้ แต่แตกต่างกับที่หลอดไฟแบบฮาโลเจนมีการใส่สารกลุ่มฮาโลเจนลงไป ทำให้ยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากกว่าหลอดไฟแบบแรก

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent)

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หรือที่เรารู้จักในชื่อหลอดไฟนีออน มีลักษณะเป็นหลอดแก้วภายในบรรจุแก๊ส มีขั้วหลอดสองฝั่ง เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่ง ในขณะไหลไปจะมีอิเล็กตรอนไหลไปด้วย เมื่ออิเล็กตรอนไหลไปชนกับอะตอมของปรอท จะเกิดเป็นพลังงานและรังสีอัลตราไวโอเลตทำให้เกิดแสงสว่าง แต่ภายในหลอดแก้วเคลือบด้วยสารดูดซับสีขาว ซึ่งจะดูดซับรังสียูวี และปล่อยออกมาเฉพาะแสงที่เรามองเห็น หลอดไฟชนิดนี้จะต้องใช้งานร่วมกับบัลลาสต์และสตาร์ทเตอร์

หลอดไฟแอลอีดี (LED)

หลอดไฟแอลอีดี ซึ่ง LED ย่อมาจาก Light Emitting Diodes เป็นนวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ ทยอยเข้ามาแทนที่หลอดไฟแบบเก่า ด้วยหลักการทำงานของหลอดไฟแอลอีดีคือ เป็นการปล่อยไฟฟ้าไปที่ชิป และให้แสงสว่างจากอิเล็กตรอน โดยไม่มีการทำให้เกิดความร้อน ไม่เผาไส้หลอด และด้วยรูปทรงที่มีขนาดเล็กทำให้ลดทอนข้อจำกัดในเรื่องการออกแบบเพื่อนำหลอดไฟไปใช้งาน

เลือกหลอดไฟแบบไหนประหยัดที่สุด

หลอดไฟ

หลอดไฟเป็นอุปกรณ์ที่มีอายุหรือรอบการใช้งาน เมื่อเสื่อมสภาพก็ต้องซื้อหลอดใหม่มาเปลี่ยน ดังนั้นหากจะพูดถึงความประหยัดหรือความคุ้มค่าแล้วนั้น นอกจากพลังงานที่ใช้คงต้องนำเรื่องของอายุการใช้งานมาเป็นส่วนประกอบด้วย รวมไปถึงราคาและการให้ความสว่าง

หลอดไฟที่เมื่อเทียบแล้วประหยัดและคุ้มค่าที่สุดในปัจจุบัน คงต้องยกให้หลอดไฟแอลอีดี (LED) ในสมัยที่หลอดไฟแอลอีดีถูกคิดค้นขึ้นมาแรกๆ มีราคาค่อนข้างสูง ทำให้คนไม่นิยมเลือกใช้ถึงแม้ว่าจะมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟแบบอื่นๆ แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้หลอดไฟแอลอีดี (LED) มีราคาที่ถูกลง ไม่ต่างจากหลอดประเภทอื่นมากนัก

นอกจากเรื่องของราคาที่ไม่แตกต่างจากหลอดไฟแบบอื่นๆ มาก หลอดไฟแบบแอลอีดี (LED) ยังประหยัดพลังงานได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบหลอดไส้ และประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดตะเกียบถึง 40% แถมอายุการใช้งานมากกว่าหลอดไฟแบบหลอดไส้ถึง 15 เท่า

ข้อดีเพิ่มเติมของหลอดไฟแอลอีดี (LED) เมื่อเทียบกับแบบอื่นๆ คือเป็นหลอดไฟที่ไม่ปล่อยรังสียูวี ทำให้ปลอดภัยต่อผิวของเรา รวมทั้งให้แสงสว่างที่ถูกต้อง ชัดเจน ทำให้สีวัตถุไม่เพี้ยน และบางรุ่นก็สามารถปรับโทนสีได้ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะถูกพัฒนาให้ใช้พลังงานน้อยลงเรื่อยๆ อีกด้วย

เลือกซื้อหลอดไฟต้องดูอะไรบ้าง?

หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าการจะเลือกหลอดไฟให้ดูที่วัตต์ ยิ่งวัตต์มากยิ่งสว่าง แต่จริงๆ แล้ววัตต์เป็นหน่วยของพลังงานที่ใช้ ยิ่งมากแปลว่ายิ่งกินไฟ การที่เราจะเลือกหลอดไฟมาใช้มีองค์ประกอบต่างๆ ที่เราต้องนำมาพิจารณาอยู่หลายตัวด้วยกันค่ะ

1.ค่าพลังงาน : มีหน่วยเป็นวัตต์ที่เราเห็นบนกล่องหลอดไฟ เป็นค่าพลังงานที่ใช้ ยิ่งวัตต์สูง ยิ่งทำให้ใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย

2.ค่าฟลักซ์แสงสว่าง : มีหน่วยเป็นลูเมน (Lumen) เป็นหน่วยวัดความสว่างของแสงที่เปล่งออกมา ยิ่งมากแสดงว่าหลอดไฟดวงนี้ให้แสงสว่างมาก

3.ค่าประสิทธิภาพ : หรือเรียกว่า Efficacy เป็นการนำค่าแสงสว่าง (ลูเมน) มาหารด้วยค่าพลังงาน (วัตต์) ค่าที่ออกมา แปลได้ว่า หลอดไฟหลอดนี้ใช้พลังงาน 1 วัตต์ ให้แสงสว่างกี่ลูเมน ยิ่งสูงแปลว่า 1 วัตต์ให้แสงสว่างเยอะ ทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

4.ค่าอุณหภูมิสี : หรือ Color Temperature มีหน่วยเป็น Kelvin (K) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากสีของท้องฟ้าในแต่ละช่วง มีตั้งแต่ 1,000-10,000 องศาเคลวิน (K) หลังๆ แบ่งออกเป็น 3 โทน

หลอดไฟ
หลอดไฟ Warmwhite ช่วยให้บรรยากาศอบอุ่ม ผ่อนคลาย
  • Daylight : มีอุณหภูมิสีที่ 6,000 K เป็นแสงโทนสีขาว เป็นสีที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด นิยมใช้เนื่องจากทำให้แสงที่สะท้อนจากวัตถุไม่เพี้ยน จะพบเห็นได้ตามสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือน
  • Coolwhite : มีอุณหภูมิสี 4,000-5,000 K เป็นแสงโทนสีเหลืองขาว คุณสมบัติคือทำให้สีจากวัตถุดูคมชัดและเข้มขึ้น ไม่นิยมนำมาใช้ แต่จะถูกใช้ไปกับงานป้าย งานโชว์สินค้า ไฟบนเวที เป็นต้น
  • Warmwhite : มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 2,000-3,000 K เป็นแสงโทนสีเหลืองเข้ม เป็นสีที่มีผลต่อความรู้สึก ทำให้อบอุ่นและผ่อนคลาย จึงเหมาะนำไปใช้ในสถานที่ให้บริการ อย่างร้านสปา โรงแรม หรือตามบ้านเรือนอย่างในห้องนอน ห้องน้ำ เป็นต้น        

5.ค่าความถูกต้องของสี : หรือ Color Rendering Index (CRI) เป็นค่าที่บอกว่าแสงไฟจากหลอดไฟหลอดนี้ เมื่อกระทบกับวัตถุจะทำให้สีของวัตถุเพี้ยนจากความเป็นจริงมกน้อยเพียงใด ซึ่งใช้มาตรฐานจากแสงอาทิตย์ที่ถือว่าเป็นแสงธรรมชาติ หากหลอดไฟหลอดใดมีค่า CRI สูงยิ่งให้ความถูกต้องของสีวัตถุใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้สีไม่เพี้ยน และดวงตาของเราไม่ทำงานหนักเกินไป

*ค่าต่างๆ สามารถดูได้ที่ข้างกล่องของหลอดไฟได้เลยค่ะ*

6.ขั้วหลอดไฟ : การจะซื้อหลอดไฟ เราจำเป็นต้องดูที่ขั้วหลอดไฟให้ตรงกับแท่นขั้วที่เราจะนำหลอดไฟไปใช้งาน ซึ่งปกติแล้วขั้วหลอดไฟที่นิยมใช้จะมี  E27 E14 (ขั้วเกลียว) G10 (ขั้วขาตะเกียบ)

เปลี่ยนหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เป็นหลอดไฟแอลอีดี

อย่างที่ทราบว่าหลอดไฟแอลอีดี (LED) เป็นหลอดไฟที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานนานขึ้นในราคาที่รับได้ หากเราจะเปลี่ยนจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มาเป็นหลอดไฟแอลอีดี ก็ทำได้ยาก แต่มีข้อควรปฏิบัติอยู่บ้างสำหรับหลอดไฟ Tube หรือหลอดไฟยาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลอดไฟแอลอีดี ต้องเอาบัลลาสต์ กับสตาร์ทเตอร์ออกก่อน เพราะหลอดไฟแอลอีดีไม่ต้องใช้สองส่วนนี้ สามารถต่อไปตรงได้เลย  

ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาหลอดไฟใช้งานที่บ้าน สำนักงาน ร้านอาหาร หรือสถานที่ต่างๆ และต้องการความคุ้มค่า ทั้งอายุการใช้งาน และประหยัดพลังงาน แถมดีไซน์สวย ทันสมัย ใช้งานง่าย คงต้องเลือกเป็นหลอดไฟแอลอีดี (LED) และอย่าลืมดูค่าต่างๆ ที่ข้างกล่องก่อนนำไปใช้งานด้วยนะคะ

หากสนใจเลือกซื้อหลอดไฟ สามารถเข้ามาเลือกช้อปได้ง่ายๆ สะดวกสบายตลอด 24 ชั่วโมงที่เว็บไซต์ OfficeMate เรามีหลอดไฟหลากหลายดีไซน์จากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมบริการส่งฟรี เมื่อสั่งซื้อครบ 499 บาท!

ที่มา : sangfi.com/ lighting.philips.co.th