ภาพของการลงทุนทำธุรกิจในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก สมัยก่อนนั้นการทำธุรกิจถูกมองเป็นเรื่องของคนที่มีเงินทุนหนา แต่ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันมีธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หลักๆ คือ ธุรกิจแบบ SME และธุรกิจแบบ Startup  ซึ่งเป็นรูปแบบของธุรกิจที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เงินทุนน้อยที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้เป็นอย่างดี

สำหรับคนอยากทำธุรกิจแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง OfficeMate ชวนมาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจความแตกต่างของธุรกิจ SME และ Startup เพื่อเลือกรูปแบบของธุรกิจให้เหมาะสมกับตัวเองกัน!

เข้าใจความต่างของ ธุรกิจSME และ ธุรกิจStartup “

ธุรกิจ SME

มาจากศัพท์เต็มๆ ว่า Small and Medium Enterprise โดยความหมายตามคำศัพท์แปลว่า “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม”

ธุรกิจ Startup

คำว่า Startup แปลตรงตัวว่า เริ่มต้นขึ้น เป็นการนำคำศัพท์มาใช้เรียกประเภทของธุรกิจที่มีลักษณะคือ เพิ่งเริ่มต้นก่อตั้ง หรือก่อการธุรกิจนั่นเอง

ความต่างโดยลักษณะของธุรกิจ

ธุรกิจ SME

ธุรกิจ SME

ธุรกิจ SME จะต้องมีลักษณะอยู่ในกรอบที่กฎหมาย “พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม พ.ศ. 2543” ระบุไว้ กล่าวคือ ต้องมีลักษณะ 3 ประการ ดังนี้

1)  กิจการที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการผลิตหรือบริการ มีมูลค่าทรัพย์สินถาวรไม่เกิน 200 ล้านบาท และมีการจ้างพนักงานไม่เกิน 200 คน

2) กิจการค้าส่งที่มีทรัพย์สินถาวรไม่เกิน 100 ล้านบาท และมีการจ้างพนักงานไม่เกิน 50 คน

3) กิจการค้าปลีกที่มีมูลค่าทรัพย์สินถาวรไม่เกิน 60 ล้านบาท และมีการจ้างพนักงานไม่เกิน 30 คน

ธุรกิจ Startup

ธุรกิจ Startup

ธุรกิจ Startup เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เป็นธุรกิจที่มักนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้เสริมหรือช่วยแก้ปัญหาให้สินค้าและบริการต่างๆ โดยรวมแล้วธุรกิจแบบ Startup มีลักษณะจำเพาะอยู่ 2 ประการคือ

1) เป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด หรือช่วยแก้ปัญหาในวงกว้าง

2) ตอบโจทย์แล้วยังต้องเข้าถึงตลาดดังกล่าวได้ด้วย

ความต่างในเรื่องที่มาของเงินลงทุนทำธุรกิจ

ธุรกิจ SME

เนื่องจากธุรกิจ SME เป็นธุรกิจที่คิดขึ้นโดยเจ้าของ เงินทุนจึงเป็นเงินของเจ้าของธุรกิจเองทั้งหมด เรียกว่าเป็นธุรกิจที่ผู้ก่อตั้งต้องพร้อมรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง

ธุรกิจ Startup

ธุรกิจ Startup ผู้ก่อตั้งจะนำเสนอขายไอเดียดีๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจอื่นอีกต่อหนึ่ง ทำให้เป็นธุรกิจที่สามารถดึงคนอื่นๆ ที่มีวิสัยทัศน์คล้ายกัน หรือเห็นแนวโน้มในการทำกำไรจากไอเดียของเรามาร่วมลงทุนด้วยได้

ความต่างในเรื่องของวิธีการทำงานเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จของธุรกิจ

ธุรกิจ SME

ธุรกิจ SME จะประสบความสำเร็จได้ ต้องเริ่มต้นที่ตัวเจ้าของธุรกิจ กล้าริเริ่ม และกล้าทำ มีแนวคิดใหม่ ทำใหม่ กล้าลอง กล้าเรียนรู้ ค่อยๆ สำเร็จทีละขั้นตอน มักเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ แล้วขยายความสำเร็จให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น

ธุรกิจ Startup

เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ขายความคิดและไอเดีย ธุรกิจ Startup จะประสบความสำเร็จได้ จึงต้องเป็นไอเดียที่โดนใจ ตอบโจทย์การแก้ปัญหา ใช้ได้กับตลาดกว้างๆ เช่น เครื่องทำทองหยอด เครื่องปอกมันฝรั่ง ฯลฯ เป็นธุรกิจที่คนมองว่าจะประสบความสำเร็จได้ต้องรวมศาสตร์ (ความรู้) และศิลป์ (ทักษะการนำเสนอไอเดีย) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ความเติบโตของธุรกิจ SME และ ธุรกิจ Startup

ความต่างในเรื่องการเติบโตและผลตอบแทนจากธุรกิจ

ธุรกิจ SME

ธุรกิจ SME มักจะมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจให้มีรายได้เติบโตอยู่ที่ประมาณปีละ 30%-50% หรือหากเป็นช่วงเกิดใหม่ก็อาจอยู่ที่ปีละ 100%-200% เป็นอย่างมาก

ธุรกิจ Startup

ธุรกิจ Startup นั้นมีเป้าหมายที่จะเติบโตขึ้นให้ได้อย่างน้อยปีละ 1,000% หากเติบโตได้น้อยกว่านั้น ถือว่าธุรกิจ Startup “ยังไม่โต” หรืออาจถึงขั้น “ไปไม่รอด” ในฐานะ Startup ก็ว่าได้

จะเห็นแล้วว่า ธุรกิจ SME และธุรกิจ Startup แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องเงินทุน รูปแบบการทำธุรกิจ รวมไปถึงผลตอบแทน คนรุ่นใหม่ หรือใครที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักธุรกิจ ลองพิจารณาเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวเองดูนะคะ

โลกของธุรกิจในวันนี้ต่างจากอดีต เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่าความต้องการของตลาดในวันพรุ่งนี้ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นคนทำธุรกิจย่อมต้องแสวงหาความรู้ อัพเดทข้อมูลเทคโนโลยีและเทรนด์กระแสโลก เพื่อปรับตัวให้รองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะตามมาอยู่เสมอ

สุดท้ายนี้ OfficeMate พร้อมช่วยเหลือทุกความฝัน ผู้ประกอบการที่อยากลดต้นทุนให้ธุรกิจ เข้ามาช้อปสินค้าจำเป็นในราคาโปรโมชันสุดคุ้ม เอาไปรันธุรกิจได้เลยที่ เว็บไซต์ OfficeMate ช้อปได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งเร็วส่งไว พร้อมบริการส่งฟรี เมื่อช้อปครบ 499 บาท!